วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ประวัติของ STEVEN GERRARD นักเตะในดวงใจของผม


STEVEN GERRARD

สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นผลผลิตของโรงเรียนฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) โดยเข้าร่วมสเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเริ่มแรกเลยเขาเล่นมิดฟิลด์ทางด้านขวา และมิดฟิลด์ตัวกลาง


ฤดูกาล 1998-1999 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่พบกับทีมเซลต้า บีโก้ ในแอนฟิลด์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง


ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับใบเหลือง และใบแดงบ่อยครั้ง


ยูโร 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2000 แต่เขาก็ได้แต่นั่งดูเกมในม้านั่งสำรองเท่านั้น


ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพอีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ลีกคัพ, ยูฟ่าคัพ และเอฟเอคัพ


ฤดูกาล 2001-2002 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกอีก 12 นัดกับอีก 1 ประตู เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี (Young Player of the Year award)


ฟุตบอลโลก 2002 เจอร์ราร์ด ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้


ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพโดยเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคู่ปรับตลอดกาล


ฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ด ลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่ซามี่ ฮูเปีย


ยูโร 2004 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนพ่ายกับโปรตุเกสเจ้าภาพในการดวลจุดโทษ


ฤดูกาล2004-2005 เขาลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงลีกคัพกับเชลซีแต่แพ้ไป3-2โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ1-1อีกด้วยแต่ก็สามารถพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก โดยเอาชนะทีมเอซีมิลานจากการดวลจุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกทีมเอซีมิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3


ฤดูกาล2005-2006 ประตูตีเสมอ West Ham United (3-3) ในรอบชิงชนะเลิศ English FA CUP ส่งให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ในท้ายที่สุด ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลานี้เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาล และทำให้สตีเฟน เจอร์ราร์ดเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ League Cup กับ แมนฯ ยู , ยูฟ่าคัพ กับ อลาเบส , ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับ เอซี มิลาน และ เอฟเอคัพ กับ เวสต์แฮม


ฟุตบอลโลก 2006 เจอร์ราร์ดลงเล่นในฟุตบอลโลกที่เยอรมันครั้งแรกหลังจากเมื่อปี 2002 ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติโปรตุเกสและพ่ายในการดวลจุดโทษหลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับบราซิลในรอบเดียวกัน


ฤดูกาล2006-2007 แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเชลซีได้ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ และเข้าชิงกับเอซี มิลานอีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง แชร์ริตี้ชีลด์ กับเชลซีเท่านั้น โดยชนะไป 2-1


ฤดูกาล2007-2008 แม้ว่าลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถทำประตูได้มากที่สุดในทีมเป็นรองแค่เฟอร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด โดยเจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้หงส์แดงหลายลูกเลยทีเดียว


ฤดูกาล2008-2009 เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะลิเวอร์พูลผลงานในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ สเปอร์ 2-1 และ มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง เชลซี,แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (ที่บ้านเชลซีและเป็นทีมแรกที่ทำให้เชลซีแพ้ในบ้านนัดแรก) และ2-0 ชนะ แมนยู 2-1และ4-1 (ถึงบ้านแมนยู) และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม


ฤดูกาล2009-2010 นอกจากจะไม่ได้แชมป์ทุกรายการ ผลงานของเจอร์ราร์ดก็ตกลงไปพร้อมกับผลงานของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้ตกต่ำกว่าฤดูกาลที่แล้วหลายร้อยเท่า ผลงานยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดดิ้ง และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก และเจอร์ราร์ดทำประตูน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยเจอร์ราร์ดทำประตูในลีกแค่ 9 ประตูเท่านั้น โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้ลิเวอร์พูลแพ้เยอะมากโดยหงส์แดงแพ้ถึง 11 นัด


ฟุตบอลโลก 2010 เจอร์ราร์ดไปเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทนเฟอร์ดินานน์ที่บาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ ทีมชาติสหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะทีมชาติสโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมันถึง 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หงส์แดง


การพ่ายแพ้สองนัดแรกในลีก ทำให้หงส์แดงลิเวอร์พูลต้องต่อสู้กับการแย่งชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้
กับแมนยูแชมป์เก่า

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สนใจตกเป็นข่าวสนใจดาวรุ่งอีกคำรบ คราวนี้เป็นคิวของ ไซม่อน เชิร์ช ดาวยิงทีมชาติเวลส์ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีของ เรดดิ้ง ที่ได้รับการแนะนำโดย รอย อีแวนส์ อดีตกุนซือมาดนิ่งของลิเวอร์พูล เอง อีแวนส์ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยกุนซือทีมชาติเวลส์ ได้บอกกับ ราฟา เบนิเตซ ว่า เชิร์ช วัย 20 ปี ซึ่งมีดีกรีเป็นกัปตันทีมมังกรแดงชุดเล็กนั้นเป็นกองหน้าที่มีพรสวรรค์มาก พร้อมกับแนะนำให้ ราฟา จับตามองเจ้าหนูรายนี้ให้ดี ๆ ในศึก เดอะ แชมเปี้ยน ชิพ ปีนี้